เมนู

อรรถกถามหาธัมมปาลชาดกที่ 9



พระศาสดาเมื่อเสด็จพระนครกบิลพัสดุ์ครั้งแรก ประทับอยู่ ณ
นิโครธาราม ทรงปรารภความไม่ทรงเชื่อของพระพุทธบิดา ในพระ-
ราชนิเวศน์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กินฺเต วตํ ดังนี้.
ความย่อว่า ครั้งนั้นพระเจ้าสุทโธทนมหาราชถวายข้าวยาคูและ
ของเคี้ยว แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ 20,000 เป็นบริวาร
ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์ เมื่อทรงกระทำสัมโมทนียกถาใน
ระหว่างภัต ได้ตรัสว่า พระเจ้าข้า เวลาที่พระองค์ทำความเพียรอยู่ มีหมู่
เทวดามายืนอยู่ในอากาศบอกแก่หม่อมฉันว่า สิทธัตถกุมารโอรสของ
พระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว เพราะเสวยพระกระยาหารน้อย เมื่อ
พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร พระองค์ทรงเชื่อหรือ ? จึงตรัสว่า
หม่อมฉันไม่เชื่อดอก พระเจ้าข้า ยังห้ามเทวดาที่ยืนกล่าวอยู่ในอากาศ
เสียอีกว่า พระโอรสของเรายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์แล้ว
จะยังไม่ปรินิพพาน พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ในบัดนี้ พระองค์
จักทรงเชื่อได้อย่างไร แม้ในครั้งก่อน ครั้งหม่อมฉันเกิดเป็นมหาธรรม-
ปาลกุมาร เมื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์เอากระดูกแพะมาแสดงบอกว่า บุตร
ของท่านตายเสียแล้ว นี่กระดูกบุตรของท่าน พระองค์ก็มิได้ทรงเชื่อ
กล่าวกับอาจารย์ว่า ในตระกูลของเรานี่จะตายกำลังหนุ่มนั้นเป็นไม่มี
ก็เหตุไร ในบัดนี้ พระองค์จักทรงเชื่อเล่า ? พระพุทธบิดาทูลอารารนา
ให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ในพระ -
นครพาราณสี ได้มีบ้านธรรมปาลคามในแคว้นกาสี บ้านนั้นที่ได้ชื่อ
อย่างนั้น เพราะเป็นที่อยู่ของตระกูลธรรมบาลพราหมณ์ที่อยู่อาศัยใน
บ้านนั้น ปรากฏชื่อว่าธรรมบาล เพราะเหตุที่รักษาธรรม คือกุศล-
กรรมบถ 10 ในตระกูลของเขาชั้นทาสและกรรมกรก็ให้ทานรักษาศีล
ทำอุโบสถกรรม.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลนั้น ได้นามว่า ธรรม-
ปาลกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้ว บิดาได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง ส่งไปเรียน
ศิลปะ ณ เมืองตักกศิลา ธรรมปาลกุมารไป ณ ที่นั้นแล้ว เรียนศิลปะ
ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้เป็นหัวหน้ามาณพพวกอันเตวาสิก
500 คน ครั้งนั้นบุตรคนโตของอาจารย์ตายลง อาจารย์มีศิษย์มาณพ
แวดล้อม พร้อมด้วยหมู่ญาติร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ทำฌาปนกิจศพบุตร
ในป่าช้า ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์และหมู่ญาติต่างร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่นั้น
ธรรมปาลบุตรคนเดียวเท่านั้น ไม่ร้องไห้ ไม่คร่ำครวญ เมื่อมาณพ
500 คนนั้นมาจากป่าช้าแล้ว ได้พากันไปนั่งรำพันอยู่ในสำนัก
อาจารย์ว่า น่าเสียดาย มาณพหนุ่มสมบูรณ์ด้วยมารยาทเห็นปานนี้
พลัดพรากจากมารดาบิดา ตายเสียแต่ยังหนุ่มทีเดียว ธรรมปาลกุมาร
กล่าวว่า เพื่อน ท่านทั้งหลายกล่าวว่ายังหนุ่ม ก็เหตุไรเล่าจึงได้ตายกัน
เสียแต่ยังหนุ่ม เวลาหนุ่มยังไม่ควรตายมิใช่หรือ ? มาณพเหล่านั้น
กล่าวกะธรรมปาลกุมารว่า แน่ะเพื่อน ท่านไม่รู้จักความตายของสัตว์
เหล่านี้ดอกหรือ ?

ธรรมปาลกุมาร เรารู้ แต่ไม่มีใครตายแต่ยังหนุ่ม ตายกัน
เมื่อแก่แล้วทั้งนั้น.
มาณพทั้งหลาย สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง มีแล้วกลับไม่มี มิใช่
หรือ ?
ธรรมปาลกุมาร จริง สังขารไม่เที่ยง แต่สัตว์ทั้งหลาย ไม่ตาย
แต่ยังหนุ่ม ตายกันเมื่อแก่แล้ว ถึงซึ่งความไม่เที่ยง.
มาณพทั้งหลาย แน่ะเพื่อนธรรมปาละ ในเรือนของท่านไม่มี
ใครตายหรือ ?
ธรรมปาลกุมาร ที่ตายแต่ยังหนุ่มไม่มี มีแต่ตายกันเมื่อแก่แล้ว
ทั้งนั้น.
มาณพทั้งหลาย ข้อนี้เป็นประเพณีแห่งตระกูลของท่านหรือ ?
ธรรมปาลกุมาร ถูกแล้ว เป็นประเพณีแห่งตระกูลของเรา.
มาณพทั้งหลาย ได้ฟังถ้อยคำของธรรมปาลกุมารดังนั้นแล้ว จึง
พากันบอกแก่อาจารย์ อาจารย์เรียกธรรมปาลกุมารมาถามว่า พ่อธรรม-
ปาละ. ได้ยินว่า ในตระกูลของท่าน คนไม่ตายกันแต่ยังหนุ่ม จริง
หรือ ? ธรรมปาลกุมารตอบว่า จริง ท่านอาจารย์ อาจารย์ฟังคำของ
เขา แล้วคิดว่า กุมารนี้พูดอัศจรรย์เหลือเกิน เราจักไปสำนักบิดาของ
กุมารนี้ถามดู ถ้าเป็นจริง เราจักบำเพ็ญธรรมเช่นนั้นบ้าง อาจารย์นั้น
ครั้นทำฌาปนกิจศพบุตรเสร็จแล้ว ล่วงมาได้ 7 , 8 วัน ได้เรียก

ธรรมปาลกุมารมาสั่งว่า แน่ะพ่อ เราจักจากไป เจ้าจงบอกศิลปะแก่
มาณพเหล่านี้ จนกว่าเราจะกลับมา สั่งแล้วก็เก็บกระดูกแพะตัว 1
มาล้างเอาใส่กระสอบ ให้คนรับใช้ผู้ 1 ถือตามไป ออกจากเมืองตักก-
ศิลาไปโดยลำดับ ถึงบ้านนั้น เที่ยวถามถึงเรือนของมหาธรรมปาละว่า
หลังไหน รู้แห่งแล้วก็ไปยืนอยู่ที่ประตู.
พวกทาสของพราหมณ์ที่เห็นก่อน ต่างก็รับร่มรับรองเท้าจากมือ
ของอาจารย์ และรับกระสอบจากมือของคนรับใช้ เมื่ออาจารย์กล่าวว่า
พวกท่านจงไปบอกบิดาของกุมารว่า อาจารย์ของธรรมปาลกุมารบุตร
ของท่านมายืนอยู่ที่ประตู พวกทาสรับคำว่า ดีแล้ว แล้วก็พากันไปบอก
พราหมณ์รีบไปที่ใกล้ประตู เชื้อเชิญว่า มาข้างนี้เถิดท่าน แล้วนำ
อาจารย์ขึ้นเรือน ให้นั่งบนบัลลังก์ ทำกิจทุกอย่างมีล้างเท้าเป็นต้น
อาจารย์บริโภคอาหารแล้ว เวลานั่งสนทนากันอยู่ตามสบาย จึงแสร้ง
กล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ธรรมปาลกุมารบุตรของท่านเป็นคนมีสติปัญญา
เรียนจบไตรเพทและศิลปะ 18 ประการแล้ว แต่ได้ตายเสียแล้วด้วยโรค
อย่าง 1 สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ท่านอย่าเศร้าโศกไปเลย.
พราหมณ์ตบมือหัวเราะดังลั่น เมื่ออาจารย์ถามว่า ท่านพราหมณ์
ท่านหัวเราะอะไร ? ก็ตอบว่า ลูกฉันยังไม่ตาย ที่ตายนั้นจักเป็นคนอื่น
อาจารย์กล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ท่านได้เห็นกระดูกบุตรของท่านแล้ว
จงเชื่อเถิด แล้วนำกระดูกออกกล่าวว่า นี่กระดูกบุตรของท่าน พราหมณ์
กล่าวว่า นี้จักเป็นกระดูกแพะหรือกระดูกสุนัข แต่ลูกฉันยังไม่ตาย

เพราะในตระกูลของเรา 7 ชั่วโคตรมาแล้ว ไม่มีใครเคยตายแต่ยังหนุ่ม
เลย ท่านพูดปด ขณะนั้น คนทั้งหมดได้ตบมือหัวเราะกันยกใหญ่
อาจารย์เห็นความอัศจรรย์นั้น แล้วมีความโสมนัส เมื่อจะถามว่า ท่าน
พราหมณ์ ในประเพณีตระกูลของท่านที่คนหนุ่ม ๆไม่ตาย ถ้าไม่มีเหตุ
คงไม่อาจเป็นไปได้ เพราะเหตุไร คนหนุ่ม ๆ จึงไม่ตาย ? ดังนี้ ได้
กล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
อะไรเป็นวัตรของท่าน อะไรเป็นพรหม-
จรรย์ของท่าน การที่คนหนุ่ม ๆ ไม่ตายนี้ เป็น
ผลแห่กรรมอะไรที่ท่านประพฤติดีแล้ว ดูก่อน
พราหมณ์ ขอท่านจงบอกเนื้อความนี้แก่เรา
เหตุไรหนอ คนหนุ่ม ๆ ของพวกท่านจึงไม่
ตาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตํ คือเป็นวัตตสมาทาน. บทว่า
พฺรหฺมจริยํ คือเป็นพรหมจรรย์อันประเสริฐสุด. บทว่า กิสฺส
สุจิณฺณสฺส
ความว่า การที่คนหนุ่ม ๆ ในตระกูลของพวกท่านไม่ตาย
เป็นผลแห่งสุจริตอย่างไหน ?
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะพรรณนาคุณานุภาพที่เห็น
เหตุให้คนหนุ่มในตระกูลนั้นไม่ตาย จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

พวกเราประพฤติธรรม ไม่กล่าวมุสา
งดเว้นธรรมชั่ว งดเว้นกรรมอันไม่ประเสริฐ
ทั้งหมด เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่ม ๆ ของ
พวกเราจึงไม่ตาย.
พวกเราฟังธรรมของอสัตบุรุษและของ
สัตบุรุษแล้ว เราไม่ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษ
เลย ละอสัตบุรุษเสีย ไม่ละสัตบุรุษ เพราะเหตุ
นั้นแหละ คนหนุ่ม ๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.
ก่อนที่เริ่มจะให้ทาน พวกเราเป็นผู้ตั้งใจ
ดี แม้กำลังให้ก็มีใจผ่องแผ้ว ครั้นให้แล้วก็
ไม่เดือดร้อนภายหลัง เพราะเหตุนั้นแหละ คน
หนุ่ม ๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.
พวกเราเลี้ยงดูสมณะ พราหมณ์ คน
เดินทาง วณิพก ยาจก และคนขัดสนทั้งหลาย
ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ เพราะเหตุนั้น
แหละ คนหนุ่ม ๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.
พวกเราไม่นอกใจภรรยา ถึงภรรยาก็ไม่
นอกใจพวกเรา พวกเราประพฤติพรหมจรรย์

นอกจากภรรยาของตน เพราะเหตุนั้นแหละ
คนหนุ่ม ๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.
พวกเราทั้งหมดงดเว้นจากการฆ่าสัตว์
งดเว้นสิ่งของที่เขาไม่ให้ในโลก ไม่ดื่มของเมา
ไม่กล่าวปด เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่ม ๆ
ของพวกเราจึงไม่ตาย.
บุตรที่เกิดในภรรยาผู้มีศีลดีเหล่านั้น เป็น
ผู้ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูต เรียนจบไตรเพท
เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่ม ๆ ของพวกเรา
จึงไม่ตาย.
มารดาบิดา พี่น้องหญิงชาย บุตร ภรรยา
และเราทุกคนประพฤติธรรมมุ่งประโยชน์ใน
โลกหน้า เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่ม ๆ
ของพวกเราจึงไม่ตาย.
ทาส ทาสี คนที่อาศัยเลี้ยงชีวิต คนรับใช้
คนทำงานทั้งหมด ล้วนแต่ประพฤติธรรมมุ่ง
ประโยชน์ในโลกหน้า เพราะเหตุนั้นแหละ
คนหนุ่ม ๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมญฺจราม ได้แก่ ประพฤติ
ธรรม คือกุศลกรรมบถ 10 ประการ กุศลกรรมทุกอย่างเป็นต้นว่า
พวกเราไม่ปลงสัตว์โดยที่สุดแม้มดดำจากชีวิต เพราะเหตุแห่งชีวิตตน
และไม่มองดูสิ่งของของผู้อื่นด้วยโลภจิต อันบัณฑิตพึงพรรณนาให้
พิสดาร ก็ในคาถานี้ พราหมณ์กล่าวถึงการพูดมุสา แต่กล่าวไว้ด้วย
สามารถแห่งอกุศลกรรมที่สูงขึ้นว่า ขึ้นชื่อว่าบาปที่บุคคลผู้มักพูดเท็จ
จะไม่ทำย่อมไม่มี ได้ยินว่า บุคคลเหล่านั้น ไม่พูดเท็จ แม้ด้วยประสงค์
จะให้หัวเราะ.
บทว่า ปาปานิ ได้แก่ กรรมอันลามกที่เป็นเหตุให้เข้าถึงนรก
แม้ทุกอย่าง. บทว่า อนริยํ ได้แก่ งดเว้นกรรมที่เว้นจากความเป็น
กรรมอันประเสริฐ คือที่ไม่ดี ได้แก่ ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมด. หิ อักษร
ในคำว่า ตสฺมา หิ อมฺหํ นี้เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า เพราะเหตุนี้
คนหนุ่ม ๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย คือขึ้นชื่อว่า อกาลมรณะในระหว่าง
ย่อมไม่มีแก่พวกเรา บาลีว่า ตสฺมา หิ อมฺหํ ดังนี้ก็มี. บทว่า สุโณม
เป็นต้น ความว่า ได้ยินว่า พวกเรา ธรรมอันแสดงกุศลของสัตบุรุษ
ก็ฟัง. ธรรมอันแสดงอกุศลของอสัตบุรุษก็ฟังทั้งนั้น แต่พวกเราก็เป็น
สักแต่ว่าฟังธรรมนั้นแล้วเท่านั้น ไม่ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษนั้นเลย
แต่ไม่ให้มีการทะเลาะหรือวิวาทกับอสัตบุรุษเหล่านั้น แม้ฟังแล้ว ได้แล้ว
ก็ประพฤติตามสัตบุรุษ ไม่ละสัตบุรุษแม้สักขณะเดียว ละอสัตบุรุษ
คือบาปมิตรเสียแล้ว เป็นผู้ซ่องเสพแก่กัลยาณมิตรเท่านั้น.

บทว่า สมเณ มยํ พฺราหฺมเณ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์
พวกเราเลี้ยงดู สมณพราหมณ์ คือพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีบาปอันสงบ
แล้วแล มีบาปอันลอยแล้วบ้าง สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมที่เหลือ
บ้าง ชนที่เหลือมีมารเดินทางเป็นต้นบ้าง ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าว
น้ำ ก็ในพระบาลีคาถานี้ก็มาตามหลังคาถาว่า ปุพฺเพว ทานา เหมือน
กัน. บทว่า นาติกฺกมาม ความว่า พวกเราไม่นอกใจภรรยาของตน
กระทำมิจฉาจารในหญิงอื่นในภายนอก. บทว่า อญฺญตฺร ตาหิ ความว่า
พวกเราประพฤติพรหมจรรย์ในหญิงที่เหลือ นอกจากภรรยาของตน
แม้ภรรยาของพวกเราก็เป็นไปในชายที่เหลืออย่างนี้เหมือนกัน บทว่า
ชายเร แปลว่า ย่อมเกิด. บทว่า สุตฺตมาสุ คือในหญิงผู้สูงสุด ผู้มี
ศีลดีทั้งหลาย.
ข้อนี้มีอธิบายว่า บุตรเหล่าใดของพวกเราเกิดในหญิงผู้สูงสุด
ผู้มีศีลสมบูรณ์เหล่านั้น บุตรเหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีประการอย่างนี้ คือ
เป็นผู้ฉลาดเป็นต้น ความตายในระหว่างจักมีแก่บุตรเหล่านั้น แต่ที่
ไหนเล่า แม้เพราะเหตุนั้น คนหนุ่ม ๆ ในตระกูลของพวกเราจึงไม่ตาย.
บทว่า ธมฺมญฺจราม ได้แก่ ประพฤติสุจริตธรรม 3 ประการ เพื่อ
ประโยชน์แก่ปรโลก. หญิงรับใช้ทั้งหลาย ชื่อว่า ทาสี.
ในที่สุด พราหมณ์ก็ได้แสดงคุณของผู้ประพฤติธรรม ด้วยคาถา
2 คาถาเหล่านี้ ว่า :-

ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรม
ที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้
เป็นอานิสงส์ ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้
ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ.
ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
เหมือนร่มใหญ่ในฤดูฝน ฉะนั้น ธรรมปาละ-
บุตรของเรา อันธรรมคุ้มครองแล้ว กระดูกที่
ท่านนำเอามานี้ เป็นกระดูกสัตว์อื่น บุตรของ
เรายังมีความสุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รกฺขติ ความว่า ธรรมดาว่า ธรรม
ที่บุคคลรักษาแล้วนี้ ย่อมกลับรักษาซึ่งบุคคลผู้มีธรรมอันตนรักษา
แล้ว. บทว่า สุขมาวหาติ คือ ย่อมนำสุขในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
กับนิพพานสุขมาให้. บทว่า น ทุคฺคตึ คือย่อมไม่ไปสู่ทุคติ อัน
ต่างด้วยทุคติมีนรกเป็นต้น.
พราหมณ์นั้นแสดงว่า ดูก่อนพราหมณ์ พวกเรารักษาธรรม
อย่างนี้ แม้ธรรมก็รักษาพวกเราเหมือนกัน. บทว่า ธมฺเมน คุตฺโต
คืออันธรรมที่ตนรักษาอันเช่นกับด้วยร่มใหญ่คุ้มครองแล้ว. บทว่า
อสฺญสฺส อฏฐีนิ ความว่า ก็กระดูกที่ท่านนำมานี้ จักเป็นกระดูก

ของสัตว์อื่น คือของแพะก็ตามของสุนัขก็ตาม ท่านจงทิ้งกระดูกเหล่านั้น
เสีย บุตรของเรายังมีความสุข.
อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า การมาของข้าพเจ้าเป็นการ
มาดี มีผล ไม่ไร้ผล แล้วมีความยินดี ขอขมาโทษกะบิดาธรรมปาละ
แล้วกล่าวว่า นี้เป็นกระดูกแพะ. ข้าพเจ้านำมาเพื่อจะลองท่าน บุตร
ของท่านสบายดี ท่านจงให้ธรรมที่ท่านรักษาแก่ข้าพเจ้าบ้าง ดังนี้แล้ว
เขียนข้อความลงในสมุด อยู่ในที่นั้น 2,3 วันแล้ว ไปเมืองตักกศิลา
ให้ธรรมปาลกุมารศึกษาศิลปะทุกอย่าง แล้วส่งไปด้วยบริวารใหญ่.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแก่ พระเจ้า-
สุทโธทนมหาราชแล้ว ทรงประกาศสัจธรรมในเวลาจบสัจจะ พระเจ้า-
สุทโธทนมหาราชได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล พระทศพลทรงประชุมชาดก
ว่า มารดาบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธมารดาพุทธบิดาในบัดนี้
อาจารย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ บริษัทในครั้งนั้น
ได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนธรรมปาลกุมาร ได้มาเป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามหาธัมมปาลชาดกที่ 9

10. กุกกุฏชาดก



ว่าด้วยพ้นศัตรูเพราะรู้เท่านั้น



[1422] บุคคลไม่พึงคุ้นเคยในคนทำบาป คน
มักพูดเหลาะแหละ คนมีปัญญาคิดแต่ประ-
โยชน์ตน คนแสร้งทำสงบเสงี่ยมแต่ภายนอก.
[1423] มีคนพวก 1 มีปกติเหมือนโคกระหาย
น้ำทำทีเหมือนจะกล้ำกลืนมิตรด้วยวาจา แต่ไม่
ใช้ด้วยการงาน ไม่ควรคุ้นเคยในคนเช่นนี้.
[1424] คนพวก 1 เป็นคนชูมือเปล่า พัวพัน
อยู่แต่ด้วยวาจา เป็นมนุษย์กระพี้ ไม่มีความ
กตัญญู ไม่ควรนั่งใกล้คนเช่นนั้น.
[1425] บุคคลไม่ควรคุ้นเคยต่อสตรีหรือบุรุษผู้
มีจิตกลับกลอก ไม่ทำความเกี่ยวข้องให้แจ้ง-
ชัดด้วยเหตุต่าง ๆ.
[1426] ไม่ควรคุ้นเคยกับบุคคล ผู้หยั่งลงสู่
กรรมอันไม่ประเสริฐ เป็นคนไม่แน่นอน กำ-